Eggplant

LATIN NAME
Solanum melongena
SCIENTIFIC NAME
Solanum melongena

GERMINATION GUIDE
Soil Temperature
ช่วงอุณหภูมิดินที่เหมาะสมในการงอก
30-35 °C
Days to Germination
ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด
7-14 วัน

DAYS TO MATURITY
65-70 วัน

SUN REQUIREMENT
แสงแดดตลอดวัน
สายพันธุ์พืช


Black Beauty Eggplant

Heirloom พันธุ์ดั้งเดิม
Organic Seed เมล็ดพันธุ์ออร์แกนิค
Open Pollinated (OP) สายพันธุ์เปิด

มะเขือยาวอิตาเลียนคลาสสิก พันธุ์ดั้งเดิม ให้ผลผลิตสูง ผลทรงสี่เหลี่ยมลูกเต๋า เกือบดำ มีร่องเล็กน้อยที่เป็นเอกลักษณ์ ผิวขนาดปานกลางถึงหนา สีม่วงเข้มและเป็นมันเงาเมื่อสุกเต็มที่ ต้นขนาดกะทัดรัด ควรได้รับการค้ำยันเพื่อรองรับผลผลิตจำนวนมากของผลขนาดใหญ่ ผลผลิตดี ทรงคลาสสิก ขนาดผลยาว 5-6 นิ้ว


Diamond Eggplant

Organic Seed เมล็ดพันธุ์ออร์แกนิค
Open Pollinated (OP) สายพันธุ์เปิด

ให้ผลดกมาก ให้ผลผลิตเทียบเท่ากับพันธุ์ลูกผสมในการทดลองของเรา ผลสีม่วงเข้มเรียวยาว
สวยงามห้อยเป็นพวง ทำให้เก็บง่าย ผลมีรสชาติอ่อนๆ ไม่มีรสขม และเนื้อสัมผัสละเอียดเนียนนุ่ม
เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับมะเขือในช่วงฤดูสั้น หรือสำหรับผู้ที่มองหาพันธุ์ผสมเปิดคุณภาพสูง
สำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์ ขนาดผลยาว 6-8 นิ้ว



วิธีเพาะปลูก
Eggplant มะเขือยาว

1. การเตรียมดิน

  • มะเขือยาวชอบดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี และมีค่า pH ระหว่าง 6.2-6.8 มะเขือเป็นพืชที่ต้องการอาหารมาก พืชมีความไวต่อไนโตรเจน หากใส่ปุ๋ยมากเกินไป จะทำให้ใบเจริญเติบโตมากเกินไป และผลิตผลน้อยลง ใช้ปุ๋ยเริ่มต้นที่มีฟอสฟอรัสสูง
  • ควรไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 20-25 cm และตากดินไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและแมลงในดิน
  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายแล้วลงในดินเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
  • ยกแปลงปลูกให้สูงประมาณ 20-30 cm เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง
  • หรือ ปลูกกระถางที่มีขนาดใหญ่ หรือเข่งเบอร์ 6 (เส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 30 ซม.) เพื่อให้รากมะเขือยาวมีพื้นที่เจริญเติบโต

2. การเพาะเมล็ด

เตรียมเมล็ดมะเขือยาว
การแช่เมล็ดและบ่มเมล็ด เพื่อเพิ่มอัตราการงอกให้สูงขึ้น

  • แช่เมล็ด: แช่เมล็ดในน้ำสะอาด 6-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
  • บ่มเมล็ด: ห่อเมล็ดด้วยผ้าชื้น หรือกระดาษทิชชู่ วางในภาชนะปิดฝา แล้วเก็บในที่อุ่นชื้น 2-3 วัน จนเมล็ดเริ่มปริงอก

  • สามารถเพาะเมล็ดโดยตรงลงในแปลงปลูก หรือเพาะในถาดเพาะก่อนแล้วค่อยย้ายกล้าลงแปลง
  • หากเพาะในถาดเพาะ ใช้ดินร่วนปนทราย หรือพีทมอส
    ควรเพาะเมล็ดให้ลึกประมาณ 0.5-0.6 cm กลบบางๆ และรดน้ำให้ชุ่ม
  • วางถาดเพาะในที่ที่มีแสงแดดรำไร
  • รดน้ำสม่ำเสมอ ให้ชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะเกินไป
  • เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ (ประมาณ 20-25 วันหลังเพาะ) สามารถย้ายกล้าลงแปลงปลูกได้

3. การปลูก

  • มะเขือยาวต้องการแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ควรเลือกสถานที่ปลูกที่ได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีร่มเงาจากต้นไม้หรือสิ่งก่อสร้าง หากปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดน้อย ผลผลิตอาจลดลง และผลมะเขือยาวอาจมีขนาดเล็ก
  • ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ ระยะห่างระหว่างต้น 45-60 cm และระยะห่างระหว่างแถว 75-90 cm
  • ขุดหลุมให้ลึกและกว้างพอประมาณ วางต้นกล้าลงในหลุม และกลบดินให้แน่น
  • รดน้ำให้ชุ่มหลังปลูก

4. การดูแลรักษา

  • รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงออกดอกและติดผล
  • ใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมเมื่อต้นอายุ 30 วัน และ 60 วัน แนะนำใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ
  • กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ
  • ทำค้างให้มะเขือยาวเมื่อต้นเริ่มสูง เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นล้ม และช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพดี
  • ป้องกันและกำจัดแมลงและโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
  • การปลูกมะเขือยาวหมุนเวียนกับพืชชนิดอื่นจะช่วยลดปัญหาโรคและแมลงได้
  • การรดโคนต้น หรือฉีดพ่นใบ เลือกใช้ปุ๋ยปลา+ปุ๋ยสาหร่าย บำรุงพืชอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อผลผลิตที่ดี เติมธาตุอาหารที่หลากหลาย บำรุงรากให้สมบูรณ์แข็งแรง สามารถดูดซึมธาตุอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การให้ปุ๋ย เติมดิน ใส่ปุ๋ยหมักหรือดินหมัก เดือนละ 1 ครั้ง เลือกใช้ปุ๋ยที่ผ่านกระบวนการหมักที่สมบูรณ์และสะอาด ปราศจากโรคและแมลงปนเปื้อน
  • ให้ปุ๋ยทางใบ ควรฉีดพ่นใต้ใบในเวลาเช้าตรู่ เป็นช่วงเวลาที่พืชเปิดปากใบ ฉีดพ่นก่อนเวลาที่พืชจะพบกับแสงแดดจัด ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม (เช่น แคลเซียม โบรอน) จะช่วยป้องกันการขาดธาตุอาหาร และช่วยให้ผลผลิตดี มีคุณภาพ

5. การเก็บเกี่ยว

  • มะเขือยาวจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 60-80 วันหลังปลูก
  • เก็บเกี่ยวผลเมื่อผลมีขนาดพอเหมาะ ผิวเป็นมันเงา และยังไม่แก่จัด เมื่อกดด้วยนิ้วหัวแม่มือแล้วไม่เกิดรอยบุ๋ม หากเมล็ดเป็นสีน้ำตาล แสดงว่าผลสุกเกินไป การเก็บเกี่ยวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มผลผลิตของผล
  • สามารถเก็บเกี่ยวผลได้เรื่อยๆ จนกว่าต้นจะหมดอายุ
  • เก็บรักษาที่อุณหภูมิประมาณ 10-13 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ 90% จะรักษาคุณภาพได้นานถึงหนึ่งสัปดาห์

ศัตรูพืชและโรคของมะเขือยาว

ข้อมูลศัตรูพืช

  • หนอนเจาะผลมะเขือ เป็นศัตรูที่สำคัญที่สุด ทำลายผลมะเขือ ทำให้ผลเน่าเสีย
  • เพลี้ยจักจั่นฝ้าย ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ทำให้ใบเหลืองและร่วง
  • ไรแดง ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ทำให้ใบเป็นจุดสีเหลืองและร่วง
  • ข้อมูลโรค

    ในดินที่มีเชื้อราเหี่ยวเวอร์ทิซิลเลียม (Verticillium wilt fungi) (Verticillium albo-atrum และ Verticillium dahliae) ต้องใช้การปลูกพืชหมุนเวียนระยะยาวเพื่อลดความรุนแรงของโรค หลีกเลี่ยงดินที่เคยปลูกพริก มะเขือเทศ และสตรอว์เบอร์รี โรคเริ่มต้นด้วยจุดสีเหลืองบนใบ ซึ่งจะเหี่ยวและร่วงหล่น ทำให้ผลโดนแดดเผา

    โรคราสีขาว (White mold) (Sclerotina sclerotiorum) เป็นโรคเชื้อราที่ทำให้เกิดแผลเปียกน้ำบนผลและทำให้ลำต้นเน่า กิ่งก้านของพืชทั้งหมดจะเหี่ยวและตายในที่สุด ราสีขาวมักพบในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี การป้องกันรวมถึงการเพิ่มระยะห่างระหว่างต้นเพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของอากาศที่ดี และการปรับปรุงความสามารถในการดูดซับน้ำของดินผ่านการยกแปลงปลูก หรือการสร้างสารอินทรีย์ในดินเมื่อเวลาผ่านไป

  • โรครากและโคนเน่า ทำให้ต้นมะเขือเหี่ยวและตาย
  • โรคใบไหม้ ทำให้ใบเป็นจุดสีน้ำตาลและไหม้
  • โรคผลเน่า ทำให้ผลเน่าเสีย

  • การป้องกัน ปลูกในดินที่ระบายน้ำได้ดี และใช้สารชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดเชื้อรา


  • ข้อมูลเพิ่มเติม

    คำถามที่พบบ่อย

    วิธีป้องกันโรคราโดยไม่ใช้สารเคมี

     

    การจัดการสภาพแวดล้อม

    • การระบายอากาศ
      • ปลูกพืชให้มีระยะห่างที่เหมาะสม เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความชื้นสะสม
      • หลีกเลี่ยงการปลูกพืชในที่อับชื้น หรือมีร่มเงามากเกินไป
    • การจัดการความชื้น
      • รดน้ำในช่วงเช้า เพื่อให้ใบแห้งก่อนค่ำ
      • หลีกเลี่ยงการรดน้ำบนใบโดยตรง
      • คลุมดินด้วยวัสดุคลุมดิน เช่น ฟาง หรือเศษใบไม้ เพื่อรักษาความชื้นในดินและป้องกันเชื้อราจากดิน
    • การจัดการดิน
      • ปรับปรุงดินให้มีการระบายน้ำที่ดี
      • ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายแล้ว เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน

    2. การใช้สารธรรมชาติ

    • น้ำส้มควันไม้ มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อรา นำมาผสมน้ำในอัตราส่วนที่เหมาะสม แล้วฉีดพ่นบนพืช
    • สมุนไพร สมุนไพรบางชนิด เช่น ขมิ้นชัน, ตะไคร้หอม มีฤทธิ์ในการป้องกันและกำจัดเชื้อรา นำมาสกัดเป็นสารละลายแล้วฉีดพ่น
    • ไตรโคเดอร์มา เป็นเชื้อราที่มีประโยชน์ ช่วยควบคุมเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคพืช นำมาผสมน้ำแล้วฉีดพ่น หรือคลุกเมล็ดก่อนปลูก
    • จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ บาซิลลัส ซับทิลิส (Bacillus subtilis) เป็นแบคทีเรียปฏิปักษ์ที่ช่วยในการป้องกันโรคราในพืช

    3. การดูแลรักษาพืช

    • การกำจัดวัชพืช วัชพืชเป็นแหล่งสะสมเชื้อรา ควรกำจัดออกอย่างสม่ำเสมอ
    • การตัดแต่งกิ่ง ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค หรือกิ่งที่หนาแน่นเกินไป เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
    • การเลือกพันธุ์พืช เลือกพันธุ์พืชที่มีความต้านทานต่อโรครา

    4. การทำความสะอาด

    • การทำความสะอาดอุปกรณ์ ทำความสะอาดอุปกรณ์การเกษตรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อรา
    • การเก็บเศษซากพืช เก็บเศษซากพืชที่เป็นโรคออกจากแปลงปลูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อรา

    ข้อควรจำ

    • การป้องกันโรคราโดยไม่ใช้สารเคมี อาจต้องใช้เวลาและความอดทนมากกว่าการใช้สารเคมี
    • ควรสังเกตอาการของโรคราอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
    • ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนใช้

     


    หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์
    ขอให้สนุกกับทุกประสบการณ์เพาะปลูกนะคะ