LATIN NAME
Solanum melongena
SCIENTIFIC NAME
Solanum melongena
Soil Temperature
ช่วงอุณหภูมิดินที่เหมาะสมในการงอก
30-35 °C
Days to Germination
ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด
7-14 วัน
SUN REQUIREMENT
แสงแดดตลอดวัน
สวยงามห้อยเป็นพวง ทำให้เก็บง่าย ผลมีรสชาติอ่อนๆ ไม่มีรสขม และเนื้อสัมผัสละเอียดเนียนนุ่ม
เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับมะเขือในช่วงฤดูสั้น หรือสำหรับผู้ที่มองหาพันธุ์ผสมเปิดคุณภาพสูง
สำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์ ขนาดผลยาว 6-8 นิ้ว
1. การเตรียมดิน
- มะเขือยาวชอบดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี และมีค่า pH ระหว่าง 6.2-6.8 มะเขือเป็นพืชที่ต้องการอาหารมาก พืชมีความไวต่อไนโตรเจน หากใส่ปุ๋ยมากเกินไป จะทำให้ใบเจริญเติบโตมากเกินไป และผลิตผลน้อยลง ใช้ปุ๋ยเริ่มต้นที่มีฟอสฟอรัสสูง
- ควรไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 20-25 cm และตากดินไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและแมลงในดิน
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายแล้วลงในดินเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
- ยกแปลงปลูกให้สูงประมาณ 20-30 cm เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง
- หรือ ปลูกกระถางที่มีขนาดใหญ่ หรือเข่งเบอร์ 6 (เส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 30 ซม.) เพื่อให้รากมะเขือยาวมีพื้นที่เจริญเติบโต
2. การเพาะเมล็ด
เตรียมเมล็ดมะเขือยาว
การแช่เมล็ดและบ่มเมล็ด เพื่อเพิ่มอัตราการงอกให้สูงขึ้น
- แช่เมล็ด: แช่เมล็ดในน้ำสะอาด 6-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
- บ่มเมล็ด: ห่อเมล็ดด้วยผ้าชื้น หรือกระดาษทิชชู่ วางในภาชนะปิดฝา แล้วเก็บในที่อุ่นชื้น 2-3 วัน จนเมล็ดเริ่มปริงอก
- สามารถเพาะเมล็ดโดยตรงลงในแปลงปลูก หรือเพาะในถาดเพาะก่อนแล้วค่อยย้ายกล้าลงแปลง
- หากเพาะในถาดเพาะ ใช้ดินร่วนปนทราย หรือพีทมอส
ควรเพาะเมล็ดให้ลึกประมาณ 0.5-0.6 cm กลบบางๆ และรดน้ำให้ชุ่ม - วางถาดเพาะในที่ที่มีแสงแดดรำไร
- รดน้ำสม่ำเสมอ ให้ชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะเกินไป
- เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ (ประมาณ 20-25 วันหลังเพาะ) สามารถย้ายกล้าลงแปลงปลูกได้
3. การปลูก
- มะเขือยาวต้องการแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ควรเลือกสถานที่ปลูกที่ได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีร่มเงาจากต้นไม้หรือสิ่งก่อสร้าง หากปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดน้อย ผลผลิตอาจลดลง และผลมะเขือยาวอาจมีขนาดเล็ก
- ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ ระยะห่างระหว่างต้น 45-60 cm และระยะห่างระหว่างแถว 75-90 cm
- ขุดหลุมให้ลึกและกว้างพอประมาณ วางต้นกล้าลงในหลุม และกลบดินให้แน่น
- รดน้ำให้ชุ่มหลังปลูก
4. การดูแลรักษา
- รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงออกดอกและติดผล
- ใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมเมื่อต้นอายุ 30 วัน และ 60 วัน แนะนำใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ
- กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ
- ทำค้างให้มะเขือยาวเมื่อต้นเริ่มสูง เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นล้ม และช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพดี
- ป้องกันและกำจัดแมลงและโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
- การปลูกมะเขือยาวหมุนเวียนกับพืชชนิดอื่นจะช่วยลดปัญหาโรคและแมลงได้
- การรดโคนต้น หรือฉีดพ่นใบ เลือกใช้ปุ๋ยปลา+ปุ๋ยสาหร่าย บำรุงพืชอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อผลผลิตที่ดี เติมธาตุอาหารที่หลากหลาย บำรุงรากให้สมบูรณ์แข็งแรง สามารถดูดซึมธาตุอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การให้ปุ๋ย เติมดิน ใส่ปุ๋ยหมักหรือดินหมัก เดือนละ 1 ครั้ง เลือกใช้ปุ๋ยที่ผ่านกระบวนการหมักที่สมบูรณ์และสะอาด ปราศจากโรคและแมลงปนเปื้อน
ให้ปุ๋ยทางใบ ควรฉีดพ่นใต้ใบในเวลาเช้าตรู่ เป็นช่วงเวลาที่พืชเปิดปากใบ ฉีดพ่นก่อนเวลาที่พืชจะพบกับแสงแดดจัด ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม (เช่น แคลเซียม โบรอน) จะช่วยป้องกันการขาดธาตุอาหาร และช่วยให้ผลผลิตดี มีคุณภาพ
5. การเก็บเกี่ยว
- มะเขือยาวจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 60-80 วันหลังปลูก
- เก็บเกี่ยวผลเมื่อผลมีขนาดพอเหมาะ ผิวเป็นมันเงา และยังไม่แก่จัด เมื่อกดด้วยนิ้วหัวแม่มือแล้วไม่เกิดรอยบุ๋ม หากเมล็ดเป็นสีน้ำตาล แสดงว่าผลสุกเกินไป การเก็บเกี่ยวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มผลผลิตของผล
- สามารถเก็บเกี่ยวผลได้เรื่อยๆ จนกว่าต้นจะหมดอายุ
- เก็บรักษาที่อุณหภูมิประมาณ 10-13 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ 90% จะรักษาคุณภาพได้นานถึงหนึ่งสัปดาห์
ศัตรูพืชและโรคของมะเขือยาว
ข้อมูลศัตรูพืช
ข้อมูลโรค
ในดินที่มีเชื้อราเหี่ยวเวอร์ทิซิลเลียม (Verticillium wilt fungi) (Verticillium albo-atrum และ Verticillium dahliae) ต้องใช้การปลูกพืชหมุนเวียนระยะยาวเพื่อลดความรุนแรงของโรค หลีกเลี่ยงดินที่เคยปลูกพริก มะเขือเทศ และสตรอว์เบอร์รี โรคเริ่มต้นด้วยจุดสีเหลืองบนใบ ซึ่งจะเหี่ยวและร่วงหล่น ทำให้ผลโดนแดดเผา
โรคราสีขาว (White mold) (Sclerotina sclerotiorum) เป็นโรคเชื้อราที่ทำให้เกิดแผลเปียกน้ำบนผลและทำให้ลำต้นเน่า กิ่งก้านของพืชทั้งหมดจะเหี่ยวและตายในที่สุด ราสีขาวมักพบในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี การป้องกันรวมถึงการเพิ่มระยะห่างระหว่างต้นเพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของอากาศที่ดี และการปรับปรุงความสามารถในการดูดซับน้ำของดินผ่านการยกแปลงปลูก หรือการสร้างสารอินทรีย์ในดินเมื่อเวลาผ่านไป
ข้อมูลเพิ่มเติม
- การศึกษาชนิดของศัตรูพืชที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์มะเขือยาวที่นำเข้าจากต่างประเทศ:
การศึกษาชนิดของศัตรูพืชที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์มะเขือยาวที่นาเข้าจากต่างประเทศ Study on Quarantine Pests Associated - กรมวิชาการเกษตร - ไรแดงในพืชตระกูลมะเขือ :
ไรแดงในพืชตระกูลมะเขือ - Unilife ใส่ใจชีวิตเกษตรกร
วิธีป้องกันโรคราโดยไม่ใช้สารเคมี
การจัดการสภาพแวดล้อม
- การระบายอากาศ
- ปลูกพืชให้มีระยะห่างที่เหมาะสม เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความชื้นสะสม
- หลีกเลี่ยงการปลูกพืชในที่อับชื้น หรือมีร่มเงามากเกินไป
- การจัดการความชื้น
- รดน้ำในช่วงเช้า เพื่อให้ใบแห้งก่อนค่ำ
- หลีกเลี่ยงการรดน้ำบนใบโดยตรง
- คลุมดินด้วยวัสดุคลุมดิน เช่น ฟาง หรือเศษใบไม้ เพื่อรักษาความชื้นในดินและป้องกันเชื้อราจากดิน
- การจัดการดิน
- ปรับปรุงดินให้มีการระบายน้ำที่ดี
- ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายแล้ว เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน
2. การใช้สารธรรมชาติ
- น้ำส้มควันไม้ มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อรา นำมาผสมน้ำในอัตราส่วนที่เหมาะสม แล้วฉีดพ่นบนพืช
- สมุนไพร สมุนไพรบางชนิด เช่น ขมิ้นชัน, ตะไคร้หอม มีฤทธิ์ในการป้องกันและกำจัดเชื้อรา นำมาสกัดเป็นสารละลายแล้วฉีดพ่น
- ไตรโคเดอร์มา เป็นเชื้อราที่มีประโยชน์ ช่วยควบคุมเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคพืช นำมาผสมน้ำแล้วฉีดพ่น หรือคลุกเมล็ดก่อนปลูก
- จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ บาซิลลัส ซับทิลิส (Bacillus subtilis) เป็นแบคทีเรียปฏิปักษ์ที่ช่วยในการป้องกันโรคราในพืช
3. การดูแลรักษาพืช
- การกำจัดวัชพืช วัชพืชเป็นแหล่งสะสมเชื้อรา ควรกำจัดออกอย่างสม่ำเสมอ
- การตัดแต่งกิ่ง ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค หรือกิ่งที่หนาแน่นเกินไป เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
- การเลือกพันธุ์พืช เลือกพันธุ์พืชที่มีความต้านทานต่อโรครา
4. การทำความสะอาด
- การทำความสะอาดอุปกรณ์ ทำความสะอาดอุปกรณ์การเกษตรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อรา
- การเก็บเศษซากพืช เก็บเศษซากพืชที่เป็นโรคออกจากแปลงปลูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อรา
ข้อควรจำ
- การป้องกันโรคราโดยไม่ใช้สารเคมี อาจต้องใช้เวลาและความอดทนมากกว่าการใช้สารเคมี
- ควรสังเกตอาการของโรคราอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
- ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนใช้