Clemson Okra

LATIN NAME
Abelmoschus esculentus
SCIENTIFIC NAME
Abelmoschus esculentus

GERMINATION GUIDE
Soil Temperature
ช่วงอุณหภูมิดินที่เหมาะสมในการงอก
27-32 °C
Days to Germination
ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด
5-7 วัน

DAYS TO MATURITY
55-60 วัน

SUN REQUIREMENT
แสงแดดตลอดวัน

สายพันธุ์พืช
(ชื่อเรียกทางการค้า)



Clemson Spineless Okra
Heirloom พันธุ์ดั้งเดิม
Open Pollinated (OP) พันธุ์ผสมเปิด

พันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงมาก มีฝักสีเขียวสดใสตั้งแต่ระยะแรก
เป็นพันธุ์มาตรฐานที่นิยมในภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา ดอกสีครีม เป็นไม้ประดับที่สวยงาม ปลูกในภาชนะได้ดี ดอกไม้กินได้ นำดอกไปทอด หรือยัดไส้กิน หรือใช้สดเป็นเครื่องตกแต่งที่สวยงามและดูแปลกใหม่ รสชาติหวานอ่อน ได้รับการรับรองออร์แกนิกจาก USDA


วิธีเพาะปลูก

เป็นพืชที่ปลูกง่ายและให้ผลผลิตสูง เหมาะสำหรับปลูกในสวนครัวหรือแปลงผักขนาดเล็ก สามารถเพาะเมล็ดโดยตรงลงในแปลงปลูก หรือเพาะกล้าในถาดเพาะก่อนย้ายปลูกก็ได้ กระเจี๊ยบเขียวชอบดินอุ่น ระบายน้ำได้ดี และมีความอุดมสมบูรณ์สูง โดยทั่วไปแล้วกระเจี๊ยบเขียวจะเติบโตได้ดีในบริเวณเดียวกับที่ข้าวโพดเติบโตได้ดี

แนะนำวิธีเพาะกล้าก่อน

  • เพาะเมล็ดในกระถางขนาด 2 นิ้ว หรือถาดเพาะกล้า โดยหยอดเมล็ด 1-2 เมล็ดต่อกระถาง/หลุม ลึก 0.5-0.6 cm
  • เริ่มเพาะก่อนย้ายปลูกลงแปลง 4-5 สัปดาห์
  • รักษาอุณหภูมิดินที่ใช้เพาะเมล็ดให้อยู่ที่ 27-32 องศาเซลเซียส เพื่อให้งอกเร็ว
  • เมื่อต้นกล้าโตขึ้น ให้เหลือต้นกล้า 1 ต้นต่อกระถาง/หลุม
  • ย้ายปลูกโดยเว้นระยะห่างระหว่างต้น 12-18 นิ้ว และเว้นระยะห่างระหว่างแถว 3 ฟุต
  • ระวังอย่าให้รากกระทบกระเทือน

การเพาะเมล็ดโดยตรง

  • หลังจากหมดความเสี่ยงจากน้ำค้างแข็ง ให้หว่านเมล็ดโดยเว้นระยะห่าง 2 นิ้ว ลึก 1/2 นิ้ว เมื่อดินอุ่น อย่างน้อย 70 องศาฟาเรนไฮต์ (21 องศาเซลเซียส)
  • เมื่อต้นกล้าโตขึ้น ให้เหลือต้นกล้าโดยเว้นระยะห่าง 12-18 นิ้ว

การเตรียมดิน

  • กระเจี๊ยบเขียวชอบดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี
  • ควรไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 15-20 cm และผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
  • หากดินเป็นกรด ควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดิน
การปลูก
  • ระยะห่างระหว่างแถวควรอยู่ที่ 50-70 cm และระยะห่างระหว่างต้น 30-50 cm
  • ขุดหลุมให้ลึกประมาณ 10-15 cm และวางต้นกล้าลงในหลุม
  • กลบดินและกดดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม
การดูแลรักษา
  • การรดโคนต้น หรือฉีดพ่นใบ เลือกใช้ปุ๋ยปลา+ปุ๋ยสาหร่าย บำรุงพืชอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อให้พืชแตกตา แตกแขนงมาก ให้ดอกมาก ให้ผลผลิตที่ดี ด้วยการเติมธาตุอาหารที่หลากหลาย บำรุงรากให้สมบูรณ์แข็งแรง สามารถดูดซึมธาตุอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การให้ปุ๋ย เติมดิน ใส่ปุ๋ยหมักหรือดินหมัก เดือนละ 1 ครั้ง เลือกใช้ปุ๋ยที่ผ่านกระบวนการหมักที่สมบูรณ์และสะอาด ปราศจากโรคและแมลงปนเปื้อน
  • กระเจี๊ยบเขียวต้องการน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงออกดอกและติดฝัก
  • ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพิ่มเติมเมื่อต้นกระเจี๊ยบเขียวเริ่มออกดอก
  • กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการแย่งอาหารและน้ำ
  • หมั่นสังเกตโรคและแมลง หากพบให้รีบกำจัด

การต้านทานโรคและแมลง

  • โดยทั่วไปไม่มีปัญหามากนัก
  • ให้เก็บแมลงเหม็นที่ปรากฏด้วยมือ
  • โรคเหี่ยวฟิวซาเรียมอาจเป็นปัญหาในสภาพอากาศร้อน การหมุนเวียนพืชเป็นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด
  • ถอนและทำลายต้นที่ได้รับผลกระทบ

การเก็บเกี่ยว

  • เก็บเกี่ยวประมาณ 50-60 วันหลังปลูก หรือเก็บเกี่ยวทันทีเมื่อฝักมีขนาดประมาณนิ้วมือ และตัดออกจากก้านได้ง่าย ตัดฝักเมื่อยาวประมาณ 3-4 นิ้ว เพื่อให้ต้นยังคงให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง
  • ฝักที่ใหญ่เกินไปจะเหนียว แก่เกินไป
  • ต้นจะให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่องตราบใดที่เก็บเกี่ยวเป็นประจำ
  • อย่าปล่อยให้ฝักสุกเกินไปบนก้าน เพราะจะเหนียวและต้นจะหยุดให้ผลผลิต
การเก็บรักษา
  • ฝักมีอายุการเก็บรักษาสั้น จะเก็บได้นาน 7-10 วัน ในถุงผักพลาสติกมีรู หรือภาชนะ
    เก็บที่อุณหภูมิ 7-10 องศาเซลเซียส

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • กระเจี๊ยบเขียวชอบแสงแดดจัด ควรปลูกในบริเวณที่ได้รับแสงแดดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
  • สามารถปลูกกระเจี๊ยบเขียวในกระถางได้ โดยเลือกกระถางที่มีขนาดใหญ่และระบายน้ำได้ดี
  • กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้งได้ดี
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์
ขอให้สนุกกับทุกประสบการณ์เพาะปลูกนะคะ