LATIN NAME
Solanum lycopersicum
SCIENTIFIC NAME
Solanum lycopersicum
SCIENTIFIC NAME
Solanum lycopersicum
GERMINATION GUIDE
Soil Temperature
ช่วงอุณหภูมิดินที่เหมาะสมในการงอก
27-33 °C
Days to Germination
ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด
5-10 วัน
DAYS TO MATURITY
78-82 วัน
SUN REQUIREMENT
แสงแดดเต็มวัน หรืออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
SUN REQUIREMENT
แสงแดดเต็มวัน หรืออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน

Nepal Big Tomato
Heirloom มะเขือเทศพันธุ์ดั้งเดิม
Organic Seed เมล็ดพันธุ์ออร์แกนิค
Open Pollinated (OP)
มะเขือเทศเนปาล หรือที่รู้จักกันในชื่อ "มะเขือเทศต้นไม้" เป็นมะเขือเทศที่มีลักษณะพิเศษคือเติบโตเป็นต้นไม้สูงใหญ่และให้ผลผลิตจำนวนมาก ผลสีแดงสดใส ทรงกลม ขนาดกลางถึงใหญ่ น้ำหนักผลโดยประมาณ 280-340 กรัม เนื้อค่อนข้างนุ่มแต่มีเนื้อมาก รสชาติมะเขือเทศแบบดั้งเดิมที่คุ้นเคย ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จาก USDA (กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา)
Brandywine Tomato
Heirloom มะเขือเทศพันธุ์ดั้งเดิม
Organic Seed เมล็ดพันธุ์ออร์แกนิค
Open Pollinated (OP)
- Red Brandywine
มะเขือเทศแบรนดี้ไวน์ สีแดง
เป็นหนึ่งในมะเขือเทศที่มีรสชาติอร่อยที่สุด ด้วยรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เข้มข้นจัดจ้าน ผลมีขนาดใหญ่ น้ำหนักผลโดยประมาณ 450 กรัมขึ้นไป เปลือกสีชมพูอมแดงและเนื้อภายในสีแดงเนียน ความสูงต้นปานกลาง มีใบใหญ่คล้ายใบมันฝรั่ง (potato-leaf) เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบมะเขือเทศรสชาติดั้งเดิม ต้องการตัวช่วยในการพยุงลำต้น ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จาก USDA (กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา)
- Yellow Brandywine
มะเขือเทศแบรนดี้ไวน์ สีเหลือง
วิธีเพาะปลูก
Big Tomato/ Beefsteak Tomato
มะเขือเทศลูกใหญ่
มะเขือเทศลูกใหญ่
1. การเตรียมดิน
การเตรียมดินสำหรับปลูกมะเขือเทศลูกใหญ่ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้มะเขือเทศของคุณเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตที่สมบูรณ์ นี่คือขั้นตอนการเตรียมดินอย่างละเอียด
- การเลือกสถานที่
หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีน้ำขังหรือดินแฉะ
- การปรับปรุงดิน
อินทรียวัตถุ: เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือเศษซากพืช เพื่อปรับปรุงโครงสร้างดินและเพิ่มธาตุอาหาร
ค่า pH: ตรวจสอบค่า pH ของดินให้อยู่ในช่วง 6.0-6.8 ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ หากดินเป็นกรดมากเกินไป ให้เติมปูนขาวเพื่อปรับค่า pH
การไถพรวน: ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 30-40 cm เพื่อให้ดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี กำจัดวัชพืชและเศษหินออกให้หมด
- การใส่ปุ๋ย
ปุ๋ยคอก: ปุ๋ยคอกเก่า หรือปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายแล้วจะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดิน
ปุ๋ยหมัก: การใช้ปุ๋ยหมักเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดีในการปรับปรุงดิน ให้ใช้ปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายแล้วคลุกเคล้ากับดิน
- การทำแปลงปลูก
ระยะปลูก: กำหนดระยะปลูกให้เหมาะสม โดยทั่วไปจะใช้ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 45-60 cm และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 75-90 cm
- การปลูกมะเขือเทศในภาชนะ หรือในกระถาง
เลือกภาชนะที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เพราะมะเขือเทศลูกใหญ่ต้องการพื้นที่รากที่กว้างขวาง ควรมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 30-45 cm และความลึก 30 cm ขึ้นไป ภาชนะที่ใหญ่ขึ้นจะช่วยให้ดินเก็บความชื้นได้ดีขึ้น และลดความถี่ในการรดน้ำ
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- หากดินของคุณเป็นดินเหนียว ควรเพิ่มทรายหยาบเพื่อช่วยให้ดินระบายน้ำได้ดีขึ้น
- การคลุมดินด้วยฟางหรือเศษหญ้าจะช่วยรักษาความชื้นในดินและป้องกันวัชพืช
- หมั่นตรวจดูสภาพดินและปรับปรุงดินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มะเขือเทศเจริญเติบโตได้ดี
2. การเพาะเมล็ด
- วัสดุเพาะ
ใช้ดินเพาะกล้าสำเร็จรูป หรือผสมดินเองโดยใช้ดินร่วน 1 ส่วน, ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน และทรายหยาบ 1 ส่วน เพื่อให้ดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี หรือเลือกใช้พีทมอส เพื่อประสิทธิภาพที่ดีในการเพาะเมล็ด
- ภาชนะเพาะเมล็ด
ใช้ถาดเพาะกล้า, กระถางเพาะ หรือถ้วยพลาสติกเล็กๆ ที่มีรูระบายน้ำ ควรทำความสะอาดภาชนะเพาะก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันโรคและแมลง
- การเตรียมเมล็ด
ขั้นตอนนี้ทำหรือไม่ทำก็ได้
ไม่มีความจำเป็นสำหรับเมล็ดพันธุ์ใหม่ อัตราการงอกสูง
แช่เมล็ดในน้ำอุ่น (ประมาณ 50°C) เป็นเวลา 6-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอก
นำเมล็ดมาห่อด้วยผ้าชื้นๆ แล้วเก็บไว้ในที่ร่มจนเมล็ดเริ่มปริงอก - ใส่ดินเพาะลงในภาชนะเพาะให้เต็ม แล้วรดน้ำให้พอชุ่มชื้น
- หยอดเมล็ดลงในดินเพาะ โดยให้เมล็ดห่างกันประมาณ 2-3 cm และลึกประมาณ 0.5-1 cm
- กลบเมล็ดด้วยดินเพาะบางๆ แล้วรดน้ำอีกครั้งให้ชุ่ม
- วางภาชนะเพาะในที่ที่มีแสงแดดรำไร และมีอุณหภูมิประมาณ 27-33°C
3. การดูแลต้นกล้า
- การรดน้ำ
- รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่ไม่แฉะ
- ใช้สเปรย์ฉีดพ่นน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นกล้าเสียหาย
- การให้แสง
- เมื่อต้นกล้าเริ่มงอก ให้นำภาชนะเพาะไปวางในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
- หากแสงแดดไม่เพียงพอ สามารถใช้หลอดไฟปลูกพืชช่วยได้
- การย้ายกล้า เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ ให้ย้ายลงกระถางใหญ่ขึ้น หรือแปลงปลูก ก่อนย้ายกล้า ควรลดการให้น้ำลง เพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรงขึ้น
- ขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่ารากต้นกล้าเล็กน้อย
- ผสมดินปลูกด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน
- นำต้นกล้าออกจากกระถางเพาะอย่างระมัดระวัง โดยให้มีดินติดรากมาด้วย
- วางต้นกล้าลงในหลุม กลบดินให้สูงถึงใบเลี้ยงใบแรก กดดินให้แน่น
- ใช้ไม้ค้ำ หรือใช้เชือกพยุง หรือใช้กรงมะเขือเทศ ปักลงในภาชนะตั้งแต่เริ่มปลูก
- ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 45-60 cm และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 75-90 cm
4. การดูแลรักษา
- การรดน้ำ
- รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยรดที่โคนต้น หลีกเลี่ยงการรดน้ำโดนใบ เพื่อป้องกันโรครา
- ให้น้ำในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้ดินชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ
- การให้ปุ๋ย
- ให้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหาร N P K ครบถ้วน
- ให้ปุ๋ยบำรุงทุกๆ 2-3 สัปดาห์
- การรดโคนต้น หรือฉีดพ่นใบ เลือกใช้ปุ๋ยปลา+ปุ๋ยสาหร่าย บำรุงพืชอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อผลผลิตที่ดี เติมธาตุอาหารที่หลากหลาย บำรุงรากให้สมบูรณ์แข็งแรง สามารถดูดซึมธาตุอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การให้ปุ๋ย เติมดิน ใส่ปุ๋ยหมักหรือดินหมัก เดือนละ 1 ครั้ง เลือกใช้ปุ๋ยที่ผ่านกระบวนการหมักที่สมบูรณ์และสะอาด ปราศจากโรคและแมลงปนเปื้อน
ให้ปุ๋ยทางใบ ควรฉีดพ่นใต้ใบในเวลาเช้าตรู่ เป็นช่วงเวลาที่พืชเปิดปากใบ ฉีดพ่นก่อนเวลาที่พืชจะพบกับแสงแดดจัด ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม (เช่น แคลเซียม โบรอน) จะช่วยป้องกันการขาดธาตุอาหาร และช่วยให้ผลผลิตดี มีคุณภาพ
- การเด็ดยอด
- เด็ดยอดแขนงที่แตกออกมา เพื่อให้ต้นมะเขือเทศเน้นการออกผล
- เด็ดยอดหลักเมื่อต้นสูงประมาณ 1.5-1.8 เมตร เพื่อควบคุมความสูงของต้น
- การกำจัดวัชพืช
- กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้วัชพืชแย่งอาหารและน้ำจากต้นมะเขือเทศ
- การป้องกันโรคและแมลง
- หมั่นสังเกตโรคและแมลงศัตรูพืชต่างๆ เช่น ราน้ำค้าง, หนอนชอนใบ, หนอนเจาะผล, และแมลงหวี่ขาว
- ใช้สารกำจัดศัตรูพืชที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
5. การเก็บเกี่ยว
ผลมะเขือเทศจะสุกทีละน้อย เริ่มจากปลายดอกไปจนถึงไหล่ (ส่วนบนของผล) และจากโคนช่อไปจนถึงปลายช่อ เก็บผลที่นิ่มกว่าโดยวางซ้อนกันในถาดตื้นที่มีเบาะรอง ใช้ผลที่สุกเต็มที่สำหรับขายปลีกในท้องถิ่นหรือใช้ในครัวเรือนเท่านั้น หากต้องการส่งผลไม้ที่สมบูรณ์ ให้เก็บผลที่สุกน้อยกว่า ผลที่เริ่มเปลี่ยนสีจะยังคงสุกต่อได้หลังการเก็บเกี่ยว กลีบเลี้ยงสามารถเอาออกหรือเก็บไว้เพื่อพิสูจน์ความสดได้
ผลมะเขือเทศจะสุกทีละน้อย เริ่มจากปลายดอกไปจนถึงไหล่ (ส่วนบนของผล) และจากโคนช่อไปจนถึงปลายช่อ เก็บผลที่นิ่มกว่าโดยวางซ้อนกันในถาดตื้นที่มีเบาะรอง ใช้ผลที่สุกเต็มที่สำหรับขายปลีกในท้องถิ่นหรือใช้ในครัวเรือนเท่านั้น หากต้องการส่งผลไม้ที่สมบูรณ์ ให้เก็บผลที่สุกน้อยกว่า ผลที่เริ่มเปลี่ยนสีจะยังคงสุกต่อได้หลังการเก็บเกี่ยว กลีบเลี้ยงสามารถเอาออกหรือเก็บไว้เพื่อพิสูจน์ความสดได้
- ใช้กรรไกรหรือมีดคมตัดขั้วผล เพื่อป้องกันการช้ำของผล
- จับผลมะเขือเทศอย่างเบามือ เพื่อป้องกันการแตกหรือช้ำ
- หลีกเลี่ยงการเก็บเกี่ยวในช่วงที่มีฝนตกหรือแดดจัด
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- คลุมดินด้วยฟางหรือเศษหญ้า เพื่อรักษาความชื้นในดินและป้องกันวัชพืช
- ปลูกพืชหมุนเวียน เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคและแมลง
- การปลูกมะเขือเทศในกระถางควรเลือกกระถางที่มีขนาดใหญ่ เพื่อให้รากสามารถเจริญเติบโตได้ดี
คำถามที่พบบ่อย
ทำไมดอกมะเขือเทศร่วง ไม่ติดผล?
การปลูกมะเขือเทศแล้วดอกร่วงไม่ติดผลเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ซึ่งมีสาเหตุหลักๆ ดังนี้
1. สภาพอากาศไม่เหมาะสม
- อุณหภูมิ: มะเขือเทศชอบอากาศอบอุ่น อุณหภูมิที่ต่ำเกินหรือสูงมากเกินไปจะทำให้ดอกร่วง
- ความชื้น: ความชื้นสูงเกินไปจะทำให้เกิดโรคราน้ำค้าง ทำให้ดอกและผลร่วงได้เช่นกัน
- แสงแดด: มะเขือเทศต้องการแสงแดดเต็มที่อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน หากได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ จะทำให้ดอกร่วงและไม่ติดผล
2. การจัดการดูแลที่ไม่เหมาะสม
- การให้น้ำ: การให้น้ำไม่สม่ำเสมอ หรือให้น้ำมากเกินไปหรือน้อยเกินไป จะทำให้ต้นมะเขือเทศเครียดและดอกร่วง
- การใส่ปุ๋ย: การใส่ปุ๋ยที่ไม่สมดุล โดยเฉพาะปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป จะทำให้ต้นมะเขือเทศเจริญเติบโตทางใบมากเกินไปและไม่ติดผล
- การผสมเกสร: มะเขือเทศเป็นพืชผสมตัวเอง แต่การช่วยผสมเกสรจะช่วยเพิ่มอัตราการติดผลได้ โดยการเขย่าต้นเบาๆ ในช่วงเวลาเช้าที่มีแดดจัด
3. โรคและแมลง
- โรคราน้ำค้าง: ทำให้ดอกและผลร่วง
- โรคใบจุด: ทำให้ใบเหลืองและร่วง ส่งผลต่อการติดผล
- แมลงหวี่ขาว: ดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ดอกและผลร่วง
4. ปัญหาอื่นๆ
- พันธุ์มะเขือเทศ: บางพันธุ์อาจไม่เหมาะกับสภาพอากาศในพื้นที่ปลูก
- การขาดธาตุอาหาร: โดยเฉพาะแคลเซียมและโบรอน
- สภาพอับลม อากาศไม่ถ่ายเท: มะเขือเทศเป็นพืชที่ผสมเกสรด้วยตัวเอง แต่ลมจะช่วยในการกระจายละอองเกสร ถ้าอากาศไม่ถ่ายเท ละอองเกสรจะไม่กระจาย ทำให้การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ และดอกก็จะร่วง ในขณะเดียวกัน ในสภาพอากาศที่ถ่ายเทไม่สะดวก ความชื้นที่สูงจะทำให้ละอองเกสรเกาะกันเป็นก้อน ทำให้การผสมเกสรเป็นไปได้ยากขึ้น
แนวทางแก้ไขสภาพอับลม อากาศไม่ถ่ายเท
1. เลือกสถานที่ปลูกที่มีลมพัดผ่านได้สะดวก เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี
2. ปลูกมะเขือเทศให้มีระยะห่างที่เหมาะสม เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกระหว่างต้น
3. ตัดแต่งกิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้นภายในทรงพุ่ม
4. หากปลูกในโรงเรือนหรือในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทไม่สะดวก อาจใช้พัดลมช่วยในการระบายอากาศ
5. หลีกเลี่ยงการรดน้ำในตอนเย็น เพื่อลดความชื้นในเวลากลางคืน
สรุปวิธีแก้ไขดอกร่วงไม่ติดผล
- เลือกปลูกพันธุ์มะเขือเทศที่เหมาะสมกับสภาพอากาศในพื้นที่
- ปลูกในบริเวณที่ได้รับแสงแดดเต็มที่
- ให้น้ำสม่ำเสมอและเพียงพอ
- ใส่ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบถ้วนและสมดุล
- ช่วยผสมเกสรโดยการเขย่าต้นเบาๆ
- ป้องกันและกำจัดโรคและแมลง
- ตรวจดูธาตุอาหารในดิน
คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุการร่วงของดอกมะเขือเทศและการแก้ไขได้จากวิดีโอนี้:
มาดูปัญหาของมะเขือเทศ ทำไมดอกเยอะแต่ไม่ติดลูกดอกร่วงขั้วไม่เหนียวมาดูกันค่ะ
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์
ขอให้สนุกกับทุกประสบการณ์เพาะปลูกนะคะ