Lavender

LATIN NAME
Lavandula angustifolia
SCIENTIFIC NAME
Lavandula angustifolia

GERMINATION GUIDE
Soil Temperature
ช่วงอุณหภูมิดินที่เหมาะสมในการงอก
18-21 °C
Days to Germination
ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด
14-21 วัน

DAYS TO MATURITY
100-110 วัน

SUN REQUIREMENT
ชอบแสงแดด อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
สายพันธุ์พืช
(ชื่อเรียกทางการค้า)



Ellagance Purple Lavender
Non-Organic Seed
Open Pollinated

FleuroSelect Gold Award
รางวัล FleuroSelect Gold Award เป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศสูงสุดสำหรับพันธุ์ไม้ใหม่ที่มีความโดดเด่นและพัฒนาขึ้นจากพันธุ์ไม้ที่มีอยู่เดิม โดยได้รับการคัดเลือกจากแปลงทดลองทั่วทวีปยุโรป รางวัลนี้มอบให้กับพันธุ์ไม้ที่แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่เหนือกว่าในด้านต่างๆ เช่น ความสวยงาม การเจริญเติบโต ความทนทานต่อโรคและแมลง และความเหมาะสมต่อการใช้งาน

การได้รับรางวัล FleuroSelect Gold Award เป็นการรับรองถึงคุณภาพและความโดดเด่นของพันธุ์ไม้ใหม่นั้นๆ
ผู้ปลูกมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะได้รับพันธุ์ไม้ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า


ลาเวนเดอร์สายพันธุ์ Ellagance Purple เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความงามของลาเวนเดอร์ตั้งแต่ปีแรกที่ปลูก ด้วยดอกสีม่วงเข้มที่บานสะพรั่งบนช่อดอกขนาดใหญ่และหนาแน่น พืชชนิดนี้มีลักษณะเป็นพุ่ม ใบสม่ำเสมอ และแตกกิ่งก้านได้ดี ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาลาเวนเดอร์ที่มีความสวยงามและแข็งแรง

Ellagance Purple เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น เนื่องจากมีความทนทานต่อฤดูหนาว นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล FleuroSelect Gold Award ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและความโดดเด่นของสายพันธุ์นี้

นอกเหนือจากความสวยงามแล้ว ยังสามารถรับประทานได้อีกด้วย ดอกไม้เหล่านี้สามารถนำมาใช้ตกแต่งขนมหวานและเพิ่มรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับเบเกอรี่ รสชาติของดอกลาเวนเดอร์นั้นหวานและมีกลิ่นหอมดอกไม้ ซึ่งเข้ากันได้ดีกับผลไม้รสเปรี้ยว เบอร์รี่ ถั่ว มินต์ และอบเชย
ทำให้เป็นส่วนผสมที่น่าสนใจในการสร้างสรรค์เมนูอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย


วิธีเพาะปลูก

การย้ายกล้า
แนะนำให้เพาะเมล็ด ดูแลต้นกล้าก่อนจึงย้ายลงดินปลูก
ไม่แนะนำ การหว่านหรือหยอดเมล็ดลงดินปลูกโดยตรง

  • เพาะเมล็ดด้วยพีทมอส เพื่อประสิทธิภาพที่ดี
  • เพาะเมล็ดลึก 1/8 นิ้ว (0.3 cm)
    หรือใช้การโรยเมล็ดลงถาดเพาะ แล้วโรยพีทมอสกลบเมล็ดบางๆให้พอเห็นเมล็ดอยู่บ้าง
  • เมล็ดต้องการแสงบ้างในการงอก

  • ย้ายกล้าลงกระถาง เมื่อต้นกล้าโตพอที่จะจัดการได้ (เติบโตได้ดีในกระถาง)
  • ย้ายลงแปลงปลูกในฤดูใบไม้ผลิหลังจากน้ำค้างแข็งครั้งสุดท้าย
  • ปลูกให้ตื้น โดยให้ระดับดินอยู่เหนือรากส่วนบนของต้นเล็กน้อย
  • ลาเวนเดอร์ไม่ทนต่อสภาพดินแฉะ น้ำขัง ดังนั้นควรระมัดระวังเรื่องการรดน้ำ
  • ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ตัดต้นให้สั้นลงใต้ก้านดอก และคลุมดินหนาๆ
  • ในปีที่สอง สามารถตัดกิ่งได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน เมื่อก้านแข็งกึ่งหนึ่ง แต่ก่อนที่จะโดนน้ำแข็งแข็ง

ความต้องการแสง

  • แดดจัด

ความต้องการดิน

  • ปลูกในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ป้องกันรากเน่า
  • ลาเวนเดอร์ชอบสถานที่ที่ได้รับการปกป้อง หันหน้าไปทางทิศใต้
  • ดินที่มีความเป็นกรดเล็กน้อยถึงด่างเล็กน้อยเป็นที่ต้องการมากที่สุด
  • หากค่า pH ของดินต่ำกว่า 6.5 ควรปรับสภาพดินด้วยปูนขาวเพื่อปรับค่า pH ให้ไม่เกิน 8.3

ความสูงของต้น

  • 30-45 cm

ระยะห่างระหว่างต้น

  • เว้นระยะห่างระหว่างต้น 30-45 cm ในแถวที่ห่างกัน 60-90 cm
  • ลาเวนเดอร์ต้องการการระบายอากาศที่ดี เพื่อป้องกันโรครา

การเก็บเกี่ยว

  • เก็บเกี่ยวก้านดอกในวันที่แห้ง อบอุ่น และมีแดดจัด เมื่อดอกกำลังจะบาน
  • แขวนให้แห้งในที่แห้ง มีอากาศถ่ายเทสะดวก และไม่โดนแสงแดดโดยตรง
การปักชำ
  • ตัดกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน ยาวประมาณ 10-15 cm
  • จุ่มกิ่งในฮอร์โมนเร่งราก
  • ปักชำในพีทมอส หรือวัสดุเพาะที่ระบายน้ำดี
  • รักษาความชื้นให้สม่ำเสมอ
  • วางในที่ร่มรำไร
การดูแลรักษา
  • รดน้ำเมื่อดินแห้ง หลีกเลี่ยงการรดน้ำมากเกินไป
  • ใส่ปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูงเพื่อส่งเสริมการออกดอก
  • ตัดแต่งกิ่งเป็นประจำเพื่อรักษาทรงพุ่ม
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
DB ลาเวนเดอร์ - กรมวิชาการเกษตร: https://www.doa.go.th/hort/?page_id=52608





หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์
ขอให้สนุกกับทุกประสบการณ์เพาะปลูกนะคะ