LATIN NAME
Brassica oleracea
SCIENTIFIC NAME
Brassica oleracea
Soil Temperature
ช่วงอุณหภูมิดินที่เหมาะสมในการงอก
30-35 °C
Days to Germination
ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด
3-14 วัน
SUN REQUIREMENT
แสงแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
มีใบขนาดใหญ่ หน้าใบกว้าง มีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม และรสชาติที่ดี (ขนาดใบใหญ่กว่าพันธุ์ Dwarf Green)
Dwarf พันธุ์นี้มีขนาดต้นกะทัดรัด มีใบหยิกถี่เป็นฝอยแน่นและรสชาติเยี่ยม ทนทานต่อความเย็นจัดจากทางตอนเหนือของเยอรมนีที่สามารถเก็บเกี่ยวได้นานถึงฤดูหนาว ต้นมีโครงสร้างที่เล็กกว่าเล็กน้อย
และใบสีเขียวปานกลางที่น่าดึงดูด
ให้ผลผลิตสูง
ต้นแข็งแรง ความสูงต้นประมาณ 18 นิ้ว (45 cm)
ต้นสูง ให้ใบที่หยิกหนาแน่นมาก ต้นแข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้ดี
เหมาะสำหรับการผลิตในช่วงฤดูหนาว สายพันธุ์นี้มีจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ออร์แกนิกจาก Bejo Seeds
ทนต่อการเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ความสูงต้น 24-36 นิ้ว (60-90 cm)
สีสันสดใสเข้มข้นขึ้นในอุณหภูมิที่เย็นกว่า จากพันธมิตรของเราที่ CN Seeds
ความลึกในการหยอดเมล็ด
1/4-1/2 นิ้ว (0.6-1.2 cm)
ระยะห่างระหว่างต้น
- การปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวเคลใบอ่อน
หยอดเมล็ดโดยตรงลงดินปลูก ความหนาแน่นประมาณ 60 เมล็ด/ฟุต ในแถบกว้าง 2-4 นิ้ว - การปลูกเพื่อปล่อยเคลโตเต็มวัย
ระยะห่างระหว่างต้นที่เหมาะสม 12-18 นิ้ว (30-45 cm)
ระยะห่างระหว่างแถว
18-30 นิ้ว (45-75 cm) สำหรับต้นขนาดเต็มวัย
การเก็บเกี่ยว
เพื่อให้ต้นเคลให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง ทยอยเก็บใบล่างออกก่อน โดยเหลือใบบนยอดไว้เพื่อให้ต้นยังคงเติบโตและให้ผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง การใช้เครื่องมือที่สะอาดและการเก็บเกี่ยวอย่างระมัดระวังจะช่วยรักษาต้นผักเคลให้สามารถเก็บเกี่ยวได้เป็นเวลานาน
สังเกตอายุและขนาดของใบ โดยทั่วไป ผักเคลจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุเติบโตเต็มที่ โดยประมาณ 50-60 วัน หลังจากการย้ายกล้า หรือเมื่อต้นมีความสูง มีใบสมบูรณ์มากพอสมควร (ประมาณ 6-8 ใบขึ้นไป), เลือกเก็บเกี่ยวใบที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ใหญ่เกินฝ่ามือ
เลือกเก็บเกี่ยวจากใบล่าง วิธีการเก็บเกี่ยวที่ถูกต้องคือ เริ่มเก็บจากใบล่างสุดของต้นก่อน(ใบที่แก่ที่สุดก่อน) เด็ดหักก้านใบด้วยมือหรือใช้กรรไกรตัด, การเก็บใบล่างจะช่วยกระตุ้นให้ต้นผักเคลแตกใบใหม่จากส่วนยอด ขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
เหลือใบบนยอดไว้ อย่าเก็บเกี่ยวใบทั้งหมดในคราวเดียว ควรเหลือใบส่วนยอดไว้ประมาณ 4-6 ใบ เพื่อให้ต้นผักเคลยังคงสามารถสังเคราะห์แสง และเจริญเติบโตต่อไปได้
ใช้เครื่องมือที่สะอาด หากใช้มีดหรือกรรไกรตัด ควรเลือกใช้เครื่องมือที่สะอาดและคม เพื่อป้องกันการช้ำของต้นและลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
ความถี่ในการเก็บเกี่ยว สามารถเก็บเกี่ยวผักเคลได้เรื่อยๆ ทุก 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการเจริญเติบโตของต้น
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยว คือ ช่วงเช้าหลังจากน้ำค้างแห้ง ยังไม่พบกับแสงแดดจัด หรือ ช่วงเย็นที่อากาศไม่ร้อนจัด จะช่วยให้ผักเคลยังคงความสดและมีคุณภาพดี
การเก็บรักษา
แช่เย็นใบในน้ำเย็นเมื่อเก็บเกี่ยว และเก็บไว้ในพลาสติกในตู้เย็น ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ให้ตัดแกนกลางของต้น และเก็บไว้ที่อุณหภูมิเหนือจุดเยือกแข็งเล็กน้อยในถุงพลาสติกเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์
การปลูกเคลใบหยิกในประเทศไทยเพื่อให้ได้คุณภาพดี
มีขั้นตอนและเทคนิคสำคัญดังนี้
1. การเตรียมดิน
- ดินร่วนซุย เคลชอบดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี เพื่อป้องกันปัญหารากเน่า
- ความเป็นกรด-ด่าง ค่า pH ของดินที่เหมาะสมคือ 6.0-7.5
- ความอุดมสมบูรณ์ ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินก่อนปลูก
2. การเพาะเมล็ด
- เลือกเมล็ดพันธุ์ เลือกเมล็ดพันธุ์เคลใบหยิกคุณภาพดีจากแหล่งที่เชื่อถือได้
- เพาะในถาดเพาะ เพาะเมล็ดในถาดเพาะ โดยใช้พีทมอส หรือดินเพาะกล้าที่มีความร่วนซุยและระบายน้ำดี
- การดูแลต้นกล้า รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ และวางถาดเพาะในที่ที่มีแสงแดดรำไร
3. การย้ายปลูก
- ระยะปลูก
ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 30-50 cm เพื่อให้เคลมีพื้นที่ในการเจริญเติบโต - การปลูกลงแปลง
ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดใหญ่กว่ารากต้นกล้าเล็กน้อย วางต้นกล้าลงในหลุม และกลบดินให้แน่น - การปลูกในกระถาง
เลือกกระถางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 นิ้ว
อาจเลือกใช้เข่ง หรือถุงปลูก เพื่อการระบายน้ำระบายอากาศที่ดี
4. การดูแลรักษา
- การรดน้ำ รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้ง
- การรดโคนต้น หรือฉีดพ่นใบ เลือกใช้ปุ๋ยปลา+ปุ๋ยสาหร่าย บำรุงพืชอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อผลผลิตที่ดี ต้นเคลแตกแขนงใหม่ในส่วนที่เราตัดก้านใบไปแล้ว เติมธาตุอาหารที่หลากหลาย บำรุงรากให้สมบูรณ์แข็งแรง สามารถดูดซึมธาตุอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การให้ปุ๋ย เติมดิน ใส่ปุ๋ยหมักหรือดินหมัก เดือนละ 1 ครั้ง เลือกใช้ปุ๋ยที่ผ่านกระบวนการหมักที่สมบูรณ์และสะอาด ปราศจากโรคและแมลงปนเปื้อน
- การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแย่งอาหารและน้ำ
- การป้องกันโรคและแมลง หมั่นสังเกตโรคและแมลงศัตรู กำหนดการฉีดพ่นป้องกันแมลงไว้อย่างสม่ำเสมอ หากพบให้รีบกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม
5. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
- แสงแดด เคลชอบแสงแดดเต็มที่ สามารถปลูกในที่พรางแสงได้
- อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเคลคือ 15-25 °C
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- การปลูกเคลในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) จะให้ผลผลิตดี
- ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี สามารถปลูกเคลได้ตลอดปี
- การปลูกเคลในกระถาง ควรเลือกกระถางที่มีรูระบายน้ำที่ดี มีขนาดเหมาะสม
โรคและศัตรูพืชที่ควรเฝ้าระวัง
โรค
- โรคราน้ำค้าง (Downy mildew): พบมากในช่วงที่มีความชื้นสูง อากาศเย็น ทำให้เกิดจุดสีเหลืองบนใบ และมีผงสีเทาใต้ใบ
- โรคเน่าเละ (Soft rot): เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผักเน่าเละ มีกลิ่นเหม็น
- โรคใบจุด (Leaf spot): เกิดจากเชื้อรา ทำให้เกิดจุดสีต่างๆบนใบ
- เพลี้ยอ่อน (Aphids): ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบและยอด ทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ใบหงิกงอ
- เพลี้ยแป้ง (Mealybugs): พบตามซอกใบและลำต้น ดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้พืชอ่อนแอ
- เพลี้ยไฟ (Thrips): ดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้เกิดรอยด่างสีขาวบนใบ
- หนอนใยผัก (Diamondback moth): เป็นหนอนตัวเล็ก สีเขียวอ่อน หัวแหลมท้ายแหลม เคลื่อนไหวเร็ว ดิ้นเก่ง ชักใยเกาะกินใบ ทำให้ใบเป็นรูพรุนคล้ายร่างแห เป็นศัตรูสำคัญอันดับต้นๆ ของพืชตระกูลกะหล่ำ
- หนอนกระทู้ผัก (Common cutworm): มีลำตัวอ้วนกลม ผิวหนังเรียบ สีน้ำตาลปนเทา หรือดำ ชอบกัดกินส่วนต่างๆ ของพืช โดยเฉพาะต้นอ่อนและใบ ทำให้ต้นกล้าขาด หรือใบแหว่ง
- หนอนกะหล่ำหัวใจ (Cabbage webworm): หนอนขนาดเล็ก สีน้ำตาลอ่อน ชอบเจาะเข้าไปกัดกินในส่วนยอดหรือหัวของกะหล่ำ ทำให้ต้นเจริญเติบโตผิดปกติ
จัดการกับหนอนอย่างไร แบบไม่ใช้สารเคมี?
การป้องกันหนอนด้วยวิธีปลอดสารเคมีเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีหลากหลายวิธีที่สามารถนำมาใช้ได้ ดังนี้
1. วิธีกล
- การเก็บไข่และตัวหนอน หมั่นตรวจแปลงผักอย่างสม่ำเสมอ เก็บไข่และตัวหนอนที่พบทิ้ง
- การใช้แผ่นกาวดักแมลงสีเหลือง เพื่อดักจับผีเสื้อหนอนกลางคืนที่จะมาวางไข่บนใบแลใต้ใบพืช
- การใช้ตาข่าย คลุมแปลงผักด้วยตาข่าย เพื่อป้องกันผีเสื้อตัวเต็มวัยมาวางไข่
- การไถพรวนดิน ไถพรวนดินตากแดด เพื่อทำลายดักแด้ที่อยู่ในดิน
- การปลูกพืชหมุนเวียน ปลูกพืชหมุนเวียน เพื่อตัดวงจรชีวิตของหนอน
2. วิธีชีวภาพ
- การใช้เชื้อแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis (Bt) เชื้อ Bt เป็นจุลินทรีย์ที่ปลอดภัยต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง แต่เป็นอันตรายต่อหนอนใยผัก สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เกษตร
- การใช้แตนเบียน แตนเบียนเป็นแมลงศัตรูธรรมชาติของหนอนใยผัก สามารถปล่อยแตนเบียนในแปลงผัก เพื่อควบคุมประชากรหนอน
- การใช้สารสกัดจากพืช สารสกัดจากพืชบางชนิด เช่น สะเดา ตะไคร้หอม
สามารถใช้ป้องกันและกำจัดหนอนได้
3. วิธีธรรมชาติ
- การปลูกพืชสมุนไพร ปลูกพืชสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน เช่น ผักชีลาว ดาวเรือง โหระพา เพื่อไล่ผีเสื้อตัวเต็มวัย
- การใช้กับดักแสงไฟ ติดตั้งกับดักแสงไฟในแปลงผัก เพื่อล่อผีเสื้อตัวเต็มวัยมาติดกับดัก
- การใช้สารละลายสมุนไพร น้ำหมักสมุนไพร เช่น สะเดา ตะไคร้หอม หมักและนำน้ำหมักมาฉีดพ่น เพื่อการป้องกันเคลให้ปลอดภัยจากหนอน
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- หมั่นตรวจแปลงผักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสังเกตการระบาดของหนอนใยผักตั้งแต่ระยะแรก
- ใช้หลายวิธีร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและกำจัดหนอนใยผัก
- เลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและชนิดของพืชที่ปลูก
การป้องกันหนอนด้วยวิธีปลอดสารเคมีต้องใช้ความอดทนและการดูแลอย่างสม่ำเสมอ แต่เป็นวิธีที่ปลอดภัยและยั่งยืน
การปลูกเคลใบหยิกในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องยาก เลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ใส่ใจดูแลและให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆที่กล่าวมา ก็จะสามารถปลูกเคลใบหยิกให้ได้คุณภาพดี และมีผลผลิตที่น่าพึงพอใจ