Curly Kale

LATIN NAME
Brassica oleracea
SCIENTIFIC NAME
Brassica oleracea

GERMINATION GUIDE
Soil Temperature
ช่วงอุณหภูมิดินที่เหมาะสมในการงอก
30-35 °C
Days to Germination
ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด
3-14 วัน

DAYS TO MATURITY
50-60 วัน

SUN REQUIREMENT
แสงแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
สายพันธุ์พืช
(ชื่อเรียกทางการค้า)



Westlandse (Westlander) Kale
Organic Seed เมล็ดพันธุ์ออร์แกนิค
Open Pollinated (OP)

Westlandse พันธุ์นี้เทียบเคียงได้ดีกับเคลพันธุ์ลูกผสม ทนต่อความเย็นจัด
มีใบขนาดใหญ่ หน้าใบกว้าง มีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม และรสชาติที่ดี (ขนาดใบใหญ่กว่าพันธุ์ Dwarf Green)
รูปร่างกะทัดรัดและใบหยิกสีเขียวหลวม มีขนาดและรูปร่างสม่ำเสมอ มาจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ไบโอไดนามิกของสวิส Sativa ต้นเจริญเติบโตสม่ำเสมอ ทนต่อความเย็นจัดมาก ความสูงต้น 20-30 นิ้ว (50-75 cm)





Dwarf Green Kale
Organic Seed เมล็ดพันธุ์ออร์แกนิค
Open Pollinated (OP)

 Dwarf พันธุ์นี้มีขนาดต้นกะทัดรัด มีใบหยิกถี่เป็นฝอยแน่นและรสชาติเยี่ยม ทนทานต่อความเย็นจัดจากทางตอนเหนือของเยอรมนีที่สามารถเก็บเกี่ยวได้นานถึงฤดูหนาว ต้นมีโครงสร้างที่เล็กกว่าเล็กน้อย
และใบสีเขียวปานกลางที่น่าดึงดูด ให้ผลผลิตสูง ต้นแข็งแรง ความสูงต้นประมาณ 18 นิ้ว (45 cm)






Arun Kale
Organic Seed เมล็ดพันธุ์ออร์แกนิค
Hybrid (F1)

Arun พันธุ์นี้ให้ผลผลิตสูง สม่ำเสมอ มีใบสีเขียวอมฟ้าสวยงาม และเส้นกลางใบตรงอย่างดีเยี่ยม เป็นพันธุ์ลูกผสมทรงพลังนี้ให้ก้านที่ตรงเป็นพิเศษ ทำให้มัดรวมกันในแปลงได้ง่าย ใบมีรสชาติอร่อยและเนื้อสัมผัสดีเยี่ยม ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับตลาดแปรรูปขนาดใหญ่ สวนตลาด หรือสวนในบ้าน จากพันธมิตรของเราที่ Tozer Seeds ความสูงต้น 24-32 นิ้ว (60-80 cm)





Darkibor Kale
Organic Seed เมล็ดพันธุ์ออร์แกนิค
Hybrid (F1)

Darkibor พันธุ์นี้มีสีเข้ม รสชาติดีเยี่ยม เป็นพันธุ์ลูกผสมที่ให้ผลผลิตดีที่สุดในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
ต้นสูง ให้ใบที่หยิกหนาแน่นมาก ต้นแข็งแรง ทนทานต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้ดี
 เหมาะสำหรับการผลิตในช่วงฤดูหนาว สายพันธุ์นี้มีจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ออร์แกนิกจาก Bejo Seeds
ทนต่อการเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ความสูงต้น 24-36 นิ้ว 
(60-90 cm)





Scarlet Kale
Organic Seed เมล็ดพันธุ์ออร์แกนิค
Open Pollinated (OP)

Scarlet เคลใบสีม่วงหยิกหนาแน่นบนก้านตั้งตรงสูง ทำให้มัดรวมกันได้ง่าย สามารถเทียบได้กับ Redbor F1 ในด้านความสูง รูปร่างใบ และสี Scarlet เพิ่มความพิเศษให้กับคะน้าที่นำเสนอ ไม่ว่าจะมัดรวมกันหรือเป็นใบอ่อน ต้นแข็งแรงให้ผลผลิตที่เชื่อถือได้ทั้งในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
สีสันสดใสเข้มข้นขึ้นในอุณหภูมิที่เย็นกว่า จากพันธมิตรของเราที่ CN Seeds
ทนต่อความเย็นจัดมาก ความสูงต้น 24-36 นิ้ว (60-90 cm)


วิธีเพาะปลูก

แสงแดด ควรเลือกสถานที่ที่ได้รับแสงแดดเพียงพอ อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน ควรได้รับแสงแดดช่วงเช้า เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่อุณหภูมิไม่สูงสุดของวัน แสงแดดที่เพียงพอส่งผลต่อการเจริญเติบโตที่ดี ให้ผลผลิตที่ดี

ดินปลูก เคลเจริญเติบโตได้ดีในดินที่ระบายน้ำได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์ มีอินทรียวัตถุสูง โดยมีค่า pH 6.0-7.5 พวกเคลเหล่านี้สามารถทนต่อดินที่เป็นด่างเล็กน้อยได้ แนวทางทั่วไปคือใส่ปุ๋ยสูตร 8-16-16 จำนวน 2-3 ปอนด์ต่อพื้นที่สวน 100 ตารางฟุต สองสัปดาห์ก่อนปลูก หากในดินของคุณไม่มีโบรอน ให้พิจารณาเติม 1 ช้อนโต๊ะต่อพื้นที่ 100 ตารางฟุต

ความลึกในการหยอดเมล็ด

1/4-1/2 นิ้ว (0.6-1.2 cm)

ระยะห่างระหว่างต้น

  • การปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวเคลใบอ่อน
    หยอดเมล็ดโดยตรงลงดินปลูก ความหนาแน่นประมาณ 60 เมล็ด/ฟุต ในแถบกว้าง 2-4 นิ้ว
  • การปลูกเพื่อปล่อยเคลโตเต็มวัย
    ระยะห่างระหว่างต้นที่เหมาะสม 12-18 นิ้ว (30-45 cm)

ระยะห่างระหว่างแถว

18-30 นิ้ว (45-75 cm) สำหรับต้นขนาดเต็มวัย

การเก็บเกี่ยว

เพื่อให้ต้นเคลให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง ทยอยเก็บใบล่างออกก่อน โดยเหลือใบบนยอดไว้เพื่อให้ต้นยังคงเติบโตและให้ผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง การใช้เครื่องมือที่สะอาดและการเก็บเกี่ยวอย่างระมัดระวังจะช่วยรักษาต้นผักเคลให้สามารถเก็บเกี่ยวได้เป็นเวลานาน

สังเกตอายุและขนาดของใบ โดยทั่วไป ผักเคลจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุเติบโตเต็มที่ โดยประมาณ 50-60 วัน  หลังจากการย้ายกล้า หรือเมื่อต้นมีความสูง มีใบสมบูรณ์มากพอสมควร (ประมาณ 6-8 ใบขึ้นไป), เลือกเก็บเกี่ยวใบที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ใหญ่เกินฝ่ามือ

เลือกเก็บเกี่ยวจากใบล่าง วิธีการเก็บเกี่ยวที่ถูกต้องคือ เริ่มเก็บจากใบล่างสุดของต้นก่อน(ใบที่แก่ที่สุดก่อน) เด็ดหักก้านใบด้วยมือหรือใช้กรรไกรตัด, การเก็บใบล่างจะช่วยกระตุ้นให้ต้นผักเคลแตกใบใหม่จากส่วนยอด ขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

เหลือใบบนยอดไว้ อย่าเก็บเกี่ยวใบทั้งหมดในคราวเดียว ควรเหลือใบส่วนยอดไว้ประมาณ 4-6 ใบ เพื่อให้ต้นผักเคลยังคงสามารถสังเคราะห์แสง และเจริญเติบโตต่อไปได้

ใช้เครื่องมือที่สะอาด หากใช้มีดหรือกรรไกรตัด ควรเลือกใช้เครื่องมือที่สะอาดและคม เพื่อป้องกันการช้ำของต้นและลดความเสี่ยงในการเกิดโรค

ความถี่ในการเก็บเกี่ยว สามารถเก็บเกี่ยวผักเคลได้เรื่อยๆ ทุก 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการเจริญเติบโตของต้น

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยว คือ ช่วงเช้าหลังจากน้ำค้างแห้ง ยังไม่พบกับแสงแดดจัด หรือ ช่วงเย็นที่อากาศไม่ร้อนจัด จะช่วยให้ผักเคลยังคงความสดและมีคุณภาพดี


การเก็บรักษา

แช่เย็นใบในน้ำเย็นเมื่อเก็บเกี่ยว และเก็บไว้ในพลาสติกในตู้เย็น ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ให้ตัดแกนกลางของต้น และเก็บไว้ที่อุณหภูมิเหนือจุดเยือกแข็งเล็กน้อยในถุงพลาสติกเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์


การปลูกเคลใบหยิกในประเทศไทยเพื่อให้ได้คุณภาพดี
มีขั้นตอนและเทคนิคสำคัญดังนี้

1. การเตรียมดิน

  • ดินร่วนซุย เคลชอบดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี เพื่อป้องกันปัญหารากเน่า
  • ความเป็นกรด-ด่าง ค่า pH ของดินที่เหมาะสมคือ 6.0-7.5
  • ความอุดมสมบูรณ์ ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินก่อนปลูก

2. การเพาะเมล็ด

  • เลือกเมล็ดพันธุ์ เลือกเมล็ดพันธุ์เคลใบหยิกคุณภาพดีจากแหล่งที่เชื่อถือได้
  • เพาะในถาดเพาะ เพาะเมล็ดในถาดเพาะ โดยใช้พีทมอส หรือดินเพาะกล้าที่มีความร่วนซุยและระบายน้ำดี
  • การดูแลต้นกล้า รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ และวางถาดเพาะในที่ที่มีแสงแดดรำไร

3. การย้ายปลูก

  • ระยะปลูก
    ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 30-50 cm เพื่อให้เคลมีพื้นที่ในการเจริญเติบโต
  • การปลูกลงแปลง
    ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดใหญ่กว่ารากต้นกล้าเล็กน้อย วางต้นกล้าลงในหลุม และกลบดินให้แน่น
  • การปลูกในกระถาง
    เลือกกระถางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 นิ้ว
    อาจเลือกใช้เข่ง หรือถุงปลูก เพื่อการระบายน้ำระบายอากาศที่ดี

4. การดูแลรักษา

  • การรดน้ำ รดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้ง
  • การรดโคนต้น หรือฉีดพ่นใบ เลือกใช้ปุ๋ยปลา+ปุ๋ยสาหร่าย บำรุงพืชอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อผลผลิตที่ดี ต้นเคลแตกแขนงใหม่ในส่วนที่เราตัดก้านใบไปแล้ว เติมธาตุอาหารที่หลากหลาย บำรุงรากให้สมบูรณ์แข็งแรง สามารถดูดซึมธาตุอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การให้ปุ๋ย เติมดิน ใส่ปุ๋ยหมักหรือดินหมัก เดือนละ 1 ครั้ง เลือกใช้ปุ๋ยที่ผ่านกระบวนการหมักที่สมบูรณ์และสะอาด ปราศจากโรคและแมลงปนเปื้อน
  • การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการแย่งอาหารและน้ำ
  • การป้องกันโรคและแมลง หมั่นสังเกตโรคและแมลงศัตรู กำหนดการฉีดพ่นป้องกันแมลงไว้อย่างสม่ำเสมอ หากพบให้รีบกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม

5. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

  • แสงแดด เคลชอบแสงแดดเต็มที่ สามารถปลูกในที่พรางแสงได้
  • อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเคลคือ 15-25 °C

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การปลูกเคลในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) จะให้ผลผลิตดี
  • ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี สามารถปลูกเคลได้ตลอดปี
  • การปลูกเคลในกระถาง ควรเลือกกระถางที่มีรูระบายน้ำที่ดี มีขนาดเหมาะสม

โรคและศัตรูพืชที่ควรเฝ้าระวัง

โรค

  • โรคราน้ำค้าง (Downy mildew): พบมากในช่วงที่มีความชื้นสูง อากาศเย็น ทำให้เกิดจุดสีเหลืองบนใบ และมีผงสีเทาใต้ใบ
  • โรคเน่าเละ (Soft rot): เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผักเน่าเละ มีกลิ่นเหม็น
  • โรคใบจุด (Leaf spot): เกิดจากเชื้อรา ทำให้เกิดจุดสีต่างๆบนใบ
แมลง
  • เพลี้ยอ่อน (Aphids): ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบและยอด ทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ใบหงิกงอ
  • เพลี้ยแป้ง (Mealybugs): พบตามซอกใบและลำต้น ดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้พืชอ่อนแอ
  • เพลี้ยไฟ (Thrips): ดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้เกิดรอยด่างสีขาวบนใบ
หนอน
  • หนอนใยผัก (Diamondback moth): เป็นหนอนตัวเล็ก สีเขียวอ่อน หัวแหลมท้ายแหลม เคลื่อนไหวเร็ว ดิ้นเก่ง ชักใยเกาะกินใบ ทำให้ใบเป็นรูพรุนคล้ายร่างแห เป็นศัตรูสำคัญอันดับต้นๆ ของพืชตระกูลกะหล่ำ
  • หนอนกระทู้ผัก (Common cutworm): มีลำตัวอ้วนกลม ผิวหนังเรียบ สีน้ำตาลปนเทา หรือดำ ชอบกัดกินส่วนต่างๆ ของพืช โดยเฉพาะต้นอ่อนและใบ ทำให้ต้นกล้าขาด หรือใบแหว่ง
  • หนอนกะหล่ำหัวใจ (Cabbage webworm): หนอนขนาดเล็ก สีน้ำตาลอ่อน ชอบเจาะเข้าไปกัดกินในส่วนยอดหรือหัวของกะหล่ำ ทำให้ต้นเจริญเติบโตผิดปกติ
คำถามที่พบบ่อย

จัดการกับหนอนอย่างไร แบบไม่ใช้สารเคมี?

การป้องกันหนอนด้วยวิธีปลอดสารเคมีเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีหลากหลายวิธีที่สามารถนำมาใช้ได้ ดังนี้

1. วิธีกล

  • การเก็บไข่และตัวหนอน หมั่นตรวจแปลงผักอย่างสม่ำเสมอ เก็บไข่และตัวหนอนที่พบทิ้ง
  • การใช้แผ่นกาวดักแมลงสีเหลือง เพื่อดักจับผีเสื้อหนอนกลางคืนที่จะมาวางไข่บนใบแลใต้ใบพืช
  • การใช้ตาข่าย คลุมแปลงผักด้วยตาข่าย เพื่อป้องกันผีเสื้อตัวเต็มวัยมาวางไข่
  • การไถพรวนดิน ไถพรวนดินตากแดด เพื่อทำลายดักแด้ที่อยู่ในดิน
  • การปลูกพืชหมุนเวียน ปลูกพืชหมุนเวียน เพื่อตัดวงจรชีวิตของหนอน

2. วิธีชีวภาพ

  • การใช้เชื้อแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis (Bt) เชื้อ Bt เป็นจุลินทรีย์ที่ปลอดภัยต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง แต่เป็นอันตรายต่อหนอนใยผัก สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เกษตร
  • การใช้แตนเบียน แตนเบียนเป็นแมลงศัตรูธรรมชาติของหนอนใยผัก สามารถปล่อยแตนเบียนในแปลงผัก เพื่อควบคุมประชากรหนอน
  • การใช้สารสกัดจากพืช สารสกัดจากพืชบางชนิด เช่น สะเดา ตะไคร้หอม
    สามารถใช้ป้องกันและกำจัดหนอนได้

3. วิธีธรรมชาติ

  • การปลูกพืชสมุนไพร ปลูกพืชสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน เช่น ผักชีลาว ดาวเรือง โหระพา เพื่อไล่ผีเสื้อตัวเต็มวัย
  • การใช้กับดักแสงไฟ ติดตั้งกับดักแสงไฟในแปลงผัก เพื่อล่อผีเสื้อตัวเต็มวัยมาติดกับดัก
  • การใช้สารละลายสมุนไพร น้ำหมักสมุนไพร เช่น สะเดา ตะไคร้หอม หมักและนำน้ำหมักมาฉีดพ่น เพื่อการป้องกันเคลให้ปลอดภัยจากหนอน

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • หมั่นตรวจแปลงผักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสังเกตการระบาดของหนอนใยผักตั้งแต่ระยะแรก
  • ใช้หลายวิธีร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและกำจัดหนอนใยผัก
  • เลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและชนิดของพืชที่ปลูก

การป้องกันหนอนด้วยวิธีปลอดสารเคมีต้องใช้ความอดทนและการดูแลอย่างสม่ำเสมอ แต่เป็นวิธีที่ปลอดภัยและยั่งยืน

การปลูกเคลใบหยิกในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องยาก เลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ใส่ใจดูแลและให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆที่กล่าวมา ก็จะสามารถปลูกเคลใบหยิกให้ได้คุณภาพดี และมีผลผลิตที่น่าพึงพอใจ

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์
ขอให้สนุกกับทุกประสบการณ์เพาะปลูกนะคะ