Swiss Chard

LATIN NAME
Anethum graveolens
SCIENTIFIC NAME
Anethum graveolens


GERMINATION GUIDE
Soil Temperature
ช่วงอุณหภูมิดินที่เหมาะสมในการงอก
29-31 °C
Days to Germination
ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด
5-7 วัน

HYDROPONIC PERFOEMER
ปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์ได้

DAYS TO MATURITY
55 วัน

SUN REQUIREMENT
แสงแดดส่องถึงอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
สายพันธุ์พืช
(ชื่อเรียกทางการค้า)




Bright Lights Swiss Chard
Organic Seed
Open Pollinated (OP)

AAS Winners
AAS เป็นองค์กรที่ไม่ขึ้นกับบริษัทใดๆ และไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อผลกำไร
พวกเขาทำการทดสอบพันธุ์พืชใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีการขายมาก่อน คัดเลือกเฉพาะพันธุ์พืชที่มีผลการทดสอบยอดเยี่ยมเท่านั้น ที่จะได้รับการแนะนำในฐานะ AAS Winners การทดสอบของ AAS มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพของพันธุ์พืชในการปลูกในสวนทั่วไป ปลูกกินเอง

Swiss Chard พันธุ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของก้านที่มีสีสันหลากหลาย เช่น สีทอง สีชมพู สีส้ม สีแดง และสีขาว นอกจากนี้ใบยังมีสีเขียวหรือสีบรอนซ์ที่สวยงาม รสชาติของพันธุ์ Bright Lights จะอ่อนกว่าชาร์ดทั่วไป และแต่ละสีจะมีรสชาติที่แตกต่างกันเล็กน้อย ปลูกได้โดยการหว่านเมล็ดโดยตรงลงดิน หรือเพาะกล้าก่อนแล้วค่อยย้ายปลูก ซึ่งการเพาะกล้าจะช่วยให้เราสามารถแยกสีต่างๆของผักได้
อัตราการเติบโต รูปร่างใบ และเนื้อสัมผัสที่สม่ำเสมอในทุกสี และยังทนทานต่อการออกดอก (bolt resistance) ได้ดี ปลูกง่าย สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี

Bright Lights ถูกพัฒนาโดยนักเพาะพันธุ์สมัครเล่นชาวนิวซีแลนด์ชื่อ John Eaton และบริษัท Johnny's Selected Seeds เป็นผู้คัดเลือกและดูแลสายพันธุ์สีต่างๆ และผลิตเมล็ดพันธุ์ อีกทั้ง
ได้รับรางวัล All-America Selections (AAS) ซึ่งเป็นการรับรองคุณภาพและความโดดเด่นของพันธุ์พืช



ผักสวิสชาร์ด (Swiss Chard)
ผักใบเขียวที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ก้านใบสีสันสวยงาม

ใบ กินสดมีรสชาติคล้ายผักโขม แต่จะมีความขมน้อยกว่า และมีเนื้อสัมผัสที่เหนียวกว่า
ก้านใบ มีรสชาติหวานเล็กน้อย และมีความกรุบกรอบ
ด้วยรสชาติและเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผักสวิสชาร์ดสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น 

  • สลัด นิยมนำใบอ่อนสดมาทานคู่กับน้ำสลัดต่างๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่นและคุณค่าทางอาหาร
  • ผัด นำไปผัดกับกระเทียม น้ำมันมะกอก หรือผัดรวมกับเนื้อสัตว์ต่างๆ
  • ซุปและแกง ใส่ในซุปหรือแกงต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางอาหาร
  • อาหารอบ ใช้เป็นส่วนผสมในพาสต้า ลาซานญ่า หรืออาหารอบอื่นๆ
  • สมูทตี้ นำใบไปปั่นรวมกับผลไม้ต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร
  • ไข่เจียวหรือออมเล็ต ผสมใบและก้านลงในไข่เจียวหรือออมเล็ตเพื่อเพิ่มรสชาติและสีสัน

นอกจากนี้ ผักสวิสชาร์ดยังเป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูง
อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย



วิธีเพาะปลูก
Swiss Chard

ผักสวิสชาร์ดชอบอากาศเย็นและชื้น อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตคือ 15-25°C ในประเทศไทยสามารถปลูกได้ดีในช่วงฤดูหนาวหรือในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น, ต้องการแสงแดดเต็มที่อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน, ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง และมีค่า pH ระหว่าง 6.0-7.5


  • ดิน: ควรมีค่า pH มากกว่า 6.0 ปรับค่า pH ของดินให้เหมาะสม หากดินเป็นกรดให้เติมปูนขาว ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดินเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ

  • สภาพอากาศ: ชอบอากาศเย็นและอบอุ่น แต่ทนความร้อนได้บ้าง บริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก

  • การงอก: เมล็ดงอกได้ดีที่สุดในอุณหภูมิดิน 30°C
  • การย้ายกล้า: เพาะกล้าก่อน เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ จึงย้ายลงแปลงปลูก
  • การหว่านเมล็ดโดยตรง:
    • ปลูกเป็นต้นใหญ่: หยอด 6 เมล็ด/ฟุต ระยะห่างแถว 12–18 นิ้ว
    • ปลูกเป็นผักใบอ่อน: หยอด 1–2 เมล็ด/นิ้ว ระยะห่างแถว 2 นิ้วขึ้นไป
  • การดูแล: รดน้ำสม่ำเสมอ และให้ปุ๋ยตามความเหมาะสม
    หลีกเลี่ยงการปลูกผักสวิสชาร์ดในบริเวณที่มีน้ำขัง


การเก็บเกี่ยว

  • ปลูกเป็นต้นใหญ่: ตัดหรือเด็ดใบที่โตเต็มที่ทีละใบ เก็บเกี่ยวเมื่อใบมีขนาดตามต้องการ
  • ปลูกเป็นผักใบอ่อน: เก็บเกี่ยวเมื่อใบยาว 3–6 นิ้ว ตัดเหนือดิน 1 นิ้ว
  • ผักสวิสชาร์ดสามารถเก็บเกี่ยวได้หลายครั้ง

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • หากใช้เมล็ดเคลือบ ควรให้ความชื้นในดินสม่ำเสมอ
  • เมล็ดขัดผิวจะช่วยให้หยอดเมล็ดด้วยเครื่องได้สม่ำเสมอขึ้น
คำถามที่พบบ่อย

ทำไมผักสวิสชาร์ด มีรสเปรี้ยว หรือรสขมประหลาด?

รสเปรี้ยว
กรดออกซาลิก (Oxalic Acid): ผักสวิสชาร์ดมีกรดออกซาลิกตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุของรสเปรี้ยวเล็กน้อย กรดออกซาลิกพบได้ในผักใบเขียวหลายชนิด เช่น ผักโขม และรูบาร์บ

สภาพดิน: ค่า pH ของดินที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ผักมีรสเปรี้ยวมากขึ้น
สภาพอากาศ: สภาพอากาศที่ร้อนจัด อาจทำให้ผักมีความเครียดและผลิตกรดมากขึ้น

รสขม
สารประกอบฟีนอล (Phenolic Compounds): ผักสวิสชาร์ดมีสารประกอบฟีนอล ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดรสขม สารประกอบเหล่านี้มีปริมาณมากขึ้นเมื่อผักแก่

สภาพการปลูก:อุณหภูมิ: อุณหภูมิที่สูงเกินไป หรือความผันผวนของอุณหภูมิ อาจทำให้ผักมีรสขมมากขึ้น
ความเครียดจากน้ำ: การขาดน้ำ หรือการให้น้ำไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้ผักมีความเครียด ผลิตสารขมมากขึ้น
การเก็บเกี่ยว: การเก็บเกี่ยวผักที่แก่เกินไป จะทำให้ผักมีรสขมมากขึ้น

วิธีการลดรสเปรี้ยวและขม

การปรุงอาหาร: การปรุงอาหารโดยใช้ความร้อน เช่น การผัด การต้ม หรือการนึ่ง จะช่วยลดปริมาณกรดออกซาลิกและสารประกอบฟีนอลได้
การผสมผสานกับอาหารอื่น: การผสมผักสวิสชาร์ดกับอาหารที่มีรสหวานหรือเค็ม จะช่วยลดรสเปรี้ยวและขมได้
การเลือกผักอ่อน: การเลือกผักสวิสชาร์ดที่อ่อนกว่า จะช่วยลดรสขมได้
การปลูกในสภาพที่เหมาะสม: การปลูกผักในสภาพที่เหมาะสม จะช่วยลดความเครียดของผัก และลดรสขมได้



หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์
ขอให้สนุกกับทุกประสบการณ์เพาะปลูกนะคะ