Radish

LATIN NAME
Raphanus sativus
SCIENTIFIC NAME
Raphanus sativus

GERMINATION GUIDE
Soil Temperature
ช่วงอุณหภูมิดินที่เหมาะสมในการงอก
27-30 °C
Days to Germination
ระยะเวลาในการเพาะเมล็ด
7-10 วัน

DAYS TO MATURITY
22-26 วัน

SUN REQUIREMENT
แสงแดดตลอดวัน หรือ
อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
สายพันธุ์พืช
(ชื่อเรียกทางการค้า)




Round Radish

Sora Round Radish
Organic Seed
Open Pollinated (OP)

Sora แรดิชสีแดงคลาสสิก มีรากกรอบและชุ่มฉ่ำ โซระปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่โดดเด่นเป็นพิเศษในสภาพอากาศร้อนและแห้ง เมื่อเปรียบกับพันธุ์อื่นๆที่เครียดได้ง่าย รากคุณภาพสูงและสม่ำเสมอรวมตัวกันเป็นพวงที่สวยงามและทนทานต่อเนื้อฟ่าม* พัฒนาพันธุ์โดย HILD

ปลูกได้ตลอดฤดูกาล ทนความร้อน คุณภาพเชิงพาณิชย์ รากกลมขนาด 1-1.25 นิ้ว (2.54-3.18 เซนติเมตร)





Long French Radish

French Breakfast Radish
Organic Seed
Open Pollinated (OP)

French Breakfast แรดิชสีชมพูเข้มสะดุดตาพร้อมปลายสีขาวสดใสและคุณภาพการรับประทานที่ยอดเยี่ยม เป็นแบบฝรั่งเศสคลาสสิกที่มีรูปร่างเป็นทรงรี ปลายทู่ และรสชาติเผ็ดร้อนที่ลงตัว ลองทานแบบดิบๆ กับเนยและเกลือ หรือนำไปตุ๋นเนยกับขนมปังซาวโดวจ์และสมุนไพรสด พันธุ์ระดับกูร์เมต์ อาจมีเนื้อฟ่ามหากเก็บเกี่ยวช้า รากยาวขนาด 1-2 นิ้ว (2.54-5.08 เซนติเมตร)

กูร์เมต์ (Gourmet) หมายถึงพันธุ์ที่มีคุณภาพสูงและรสชาติพิเศษ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารและรสชาติที่ซับซ้อน

การหว่านเมล็ดให้หนาแน่นขึ้นและลึกขึ้น
การทำเช่นนี้เป็นการกระตุ้นให้รากของหัวไชเท้าเติบโตลงในดินเพื่อแข่งขันกันหาอาหารและน้ำ ทำให้รากยาวและตรงขึ้น

การลดการให้น้ำ
การลดการให้น้ำจะกระตุ้นให้รากเติบโตลึกลงไปในดินเพื่อหาความชื้น ทำให้รากยาวขึ้น นอกจากนั้นยังลดโอกาศที่รากจะเน่าได้อีกด้วย





วิธีเพาะปลูก
Radish แรดิช

ความเผ็ดอ่อนๆ ความกรุบกรอบที่น่าพึงพอใจ และสีสันสดใสของแรดิชสด ทำให้พวกมันสมบูรณ์แบบสำหรับอาหารเรียกน้ำย่อย เครื่องเคียง และสลัด แรดิชยังอร่อยเมื่อนำไปดอง ย่าง ผัด และขูดหรือสไลด์เป็นเครื่องปรุงรส ขึ้นอยู่กับชนิดของแรดิช

การเพาะปลูก

  • ต้องการดินร่วนระบายน้ำได้ดี มีค่า pH อยู่ในช่วง 5.8-6.8
  • แรดิช/หัวไชเท้า ได้รับผลกระทบในทางลบจากสภาพอากาศร้อนและแห้ง
  • ผลผลิตจะอยู่ในสภาพดีที่สุดเพียงไม่กี่วัน และควรปลูกให้เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยความชื้นที่เพียงพอ เพื่อให้มีรสชาติอ่อนนุ่ม และน่ารับประทาน
  • หากการเจริญเติบโตหยุดชะงัก รากอาจแข็ง เป็นเนื้อฟ่าม และมีรสเผ็ดเกินไป

ระยะเวลาการเก็บเกี่ยว

  • นับจากวันที่หว่านเมล็ดโดยตรง

การหว่านเมล็ดโดยตรง

  • หว่านเมล็ดได้ตลอดฤดูกาล โดยเริ่มตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ
  • ใช้แถบกว้าง 2-3 นิ้ว (5.08-7.62 เซนติเมตร) หว่านเมล็ดห่างกันประมาณ 1 นิ้ว (2.54 เซนติเมตร) (ประมาณ 35 เมล็ด/ฟุต) ลึก 1/2 นิ้ว (1.27 เซนติเมตร) แถวห่างกัน 1 ฟุต (30.48 เซนติเมตร)

  • สำหรับแรดิช French Breakfast ที่ยาวและตรงกว่า ให้หว่านเมล็ดต่อแถวมากกว่าหัวไชเท้ากลม 15-20% ลึก 1/2 ถึง 1 เซนติเมตร และอย่ารดน้ำเกินความจำเป็น

อัตราการหว่านเมล็ดโดยตรงโดยเฉลี่ย

  • 1 ออนซ์/70 ฟุต (28.35 กรัม/21.34 เมตร), 14 ออนซ์/1,000 ฟุต (396.9 กรัม/304.8 เมตร), 31 ปอนด์/เอเคอร์ (34.72 กิโลกรัม/0.40 เฮกตาร์) ในแถวห่างกัน 12 นิ้ว (30.48 เซนติเมตร)

แมลงศัตรูพืช

  • ใช้ผ้าคลุมแถวแบบลอยตัว (floating row covers) ในช่วงเวลาปลูกเพื่อควบคุมหมัดผัก (flea beetles) และหนอนแมลงวันรากผักกาด (cabbage root maggots)

การเก็บเกี่ยว

  • เก็บเกี่ยวทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงเนื้อฟ่าม โดยเริ่มที่ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เมื่อรากมีขนาดเท่าลูกหินขนาดใหญ่

การเก็บรักษา

  • มัดเป็นกำ หรือตัดยอด, ทำให้เย็นด้วยน้ำเย็น (hydrocool) และแช่เย็น
  • หัวไชเท้าที่ตัดยอดแล้วจะคงสภาพดี กรอบได้ 3-4 สัปดาห์ หากเก็บไว้ที่ 32°F (0°C) ความชื้นสัมพัทธ์ 95% และในบรรจุภัณฑ์ที่ระบายอากาศได้

เมล็ดขนาด

  • เมล็ด "ขนาด" ได้รับการคัดแยกเพื่อให้มีขนาดใกล้เคียงกัน ความสม่ำเสมอนี้ช่วยให้วางระยะห่างได้อย่างแม่นยำมากขึ้นด้วยเครื่องหยอดเมล็ดแบบกลไก และการงอกที่สม่ำเสมอมากขึ้น เฉพาะหัวไชเท้าสีแดงกลมเท่านั้นที่มีขนาดเมล็ด

คำอธิบายเพิ่มเติม

  • Floating row covers: ผ้าคลุมแถวแบบลอยตัว เป็นผ้าที่ใช้คลุมแปลงปลูกเพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืช และช่วยรักษาความชื้น
  • Hydrocool: การทำให้เย็นด้วยน้ำเย็น เป็นวิธีการลดอุณหภูมิของผักอย่างรวดเร็วหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อรักษาความสด
  • Sized seeds: เมล็ดขนาด คือเมล็ดที่ถูกคัดเกรดให้มีขนาดเท่ากัน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการปลูกด้วยเครื่องจักร

  • Pithiness ในพืชกินหัวกินราก เช่น แรดิช,​ หัวไชเท้า
    หมายถึง อาการที่เนื้อของหัวพืชมีลักษณะเป็น

เนื้อฟ่าม: เนื้อสัมผัสจะแห้ง แข็ง และไม่ชุ่มฉ่ำ
เป็นรูพรุน: เนื้อภายในอาจมีช่องว่างหรือรูเล็กๆ ทำให้เนื้อสัมผัสไม่แน่น
มีเนื้อไม้: เนื้อสัมผัสอาจมีความแข็งคล้ายเนื้อไม้ ทำให้รสชาติและเนื้อสัมผัสไม่ดี

อาการเนื้อฟ่ามในพืชหัวมักเกิดขึ้นจาก

การขาดน้ำ: พืชที่ขาดน้ำในช่วงการเจริญเติบโตมักมีเนื้อฟ่าม
ความร้อนสูง: อุณหภูมิที่สูงเกินไปสามารถทำให้พืชเกิดอาการเนื้อฟ่ามได้
การเก็บเกี่ยวที่ล่าช้าเกินไป: การปล่อยให้พืชโตเกินไปก่อนการเก็บเกี่ยวอาจทำให้เนื้อฟ่ามได้
ความไม่สมดุลของสารอาหาร: การขาดสารอาหารบางชนิดสามารถทำให้พืชมีเนื้อฟ่ามได้